กฏแห่งกรรม : กรรมฆ่ากบ



กฏแห่งกรรม : เรื่องกรรมฆ่ากบ

โดย…พีรพงษ์ จากหนังสือ “กรรมใดใครก่อ” เล่ม ๑

ผู้เขียนถือกำเนิดเกิดมาเป็นลูกชาวนา ชีวิตในเยาว์วัยเจริญเติบโตมา ในท่ามกลางกลิ่นโคลนสาบควาย และสายลมแสงแดด ผู้เขียนรับการหล่อหลอม และอบรมมาจากบิดามารดาที่เป็นชาวนาโดยสายเลือด

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ชีวิตของชาวนานั้นดำรงชีวิตมาอย่างไร ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จวบจนปัจจุบันนี้ ชาวนาไทยยังไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าไปไกลเท่าไรนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน หากินไปตามธรรมดาที่คิดว่าไม่ผิดธรรม ไม่ผิดวินัยของชาวโลก

บรรพบุรุษทำมาอย่างไร อนุชนรุ่นหลังก็ทำไปตามแบบอย่างของปู่ย่าตายาย ถึงวันโกนวันพระ ชาวนาจะหยุดพักจากกิจการงาน หันหน้าเข้าวัดฟังธรรม และถือเป็นประเพณีที่ดีงามที่ได้ปฏิบัติกันมาอย่างเคร่งครัด เพราะเมื่อ ๓๐ – ๔๐ ปีก่อนโน้น เราใช้แรงงานจากวัวควาย ลาก คราด ลากไถเทียมเกวียนบรรทุกกล้า และสารพัดที่จะใช้มัน

ฉะนั้น วัว ควาย จึงเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของชาวนา ทั้งหน้าปักดำและหน้าเก็บเกี่ยว ครั้นถึงวันพระ เราหยุดพักงาน วัวควายก็ได้พักแรงไปด้วย

ผมเองยังอยู่ในวัยเด็ก ก็จะนำวัวควายไปเลี้ยงในสถานที่ที่หญ้าเขียวขจี ซึ่งไม่มีข้าวหล้าของใครอยู่ใกล้ๆ เพราะถ้าไปเลี้ยงใกล้ๆ ข้าวกล้า นาของใคร เผลอให้วัวควายไปกินกล้ากินข้าวในนาของใครเข้า เราเองจะถูกต่อว่าต่อขาน

เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าของไปรายงาน พ่อ – แม่ ให้รู้เข้าอีก คราวนี้แหละต้องได้ฟังเทศน์ในวงสำรับ โดยไม่ต้องเงยหน้าสบตาผู้ใหญ่เลยหละ และนอกไปกว่านั้น บ้านนอกยังมีการขาย หรือปรับความเสียหายกันอย่างเจ็บปวดด้วย ถ้าวัวควายลงกินกล้าเสียหายแล้ว ต้องถึงผู้ใหญ่ นายกำนันกันก็บ่อยครั้ง และคนบ้านนอกนั้นไม่ชอบการเป็นความกัน ถ้าไปถึงผู้หใหญ่นายกำนันแล้ว จะถือว่าเสื่อมเสียเกียรติ ดังนั้น จึงตกลงยอมความกันเสียตั้งแต่ตอนแรกเป็นดีที่สุด

ในหน้าแล้งเราว่างงานนา พวกเด็กๆ จะต้อนฝูงวัว ควาย ไปหากินในท้องทุ่งอันกว้างไกล และในขณะที่ปล่อยให้วัวควายหากินกันตามสบายนั้น พวกเราก็จะพากันหาปู ปลา ตามห้วยหนองคลองบึง เพื่อเป็นอาหารกลางวันบ้าง และบางครั้งเราได้มาก ก็นำกลับมาเป็นอาหารเย็นที่บ้านเราด้วย

เด็กคนไหนหากินเก่ง หาปูหาปลาได้มาก เรายกย่องสรรเสริญทั้งในกลุ่มของเด็กและผู้ใหญ่ว่า รู้จักหากินตั้งแต่เล็กๆ โตขึ้นต้องเอาตัวรอดปลอดภัย จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีฐานะดี ในวันข้างหน้าจะไม่อดอยากยากจนเหมือนคนบางคน ที่ไม่รู้จักหาากิน แม้แต่ปู ปลา ก็หากินไม่ได้ แล้วจะไปทำงานนา งานสวนที่หนักและเหนื่อยยังไงไหว

นี่คือค่านิยมของคนบ้านนอกในสมัยนั้น ผู้เขียนเองก็อยากเป็นคนเก่ง ในหมู่ของเด็กๆ และอยากเป็นคนรู้จักทำมาหากิน อยากให้ผู้ใหญ่ยกย่องว่าดี ว่างั้นเถอะครับ และคงจะเป็นด้วยแรงกรรมหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ผู้เขียนเป็นผู้ที่หาปลาเก่งอยู่สักหน่อย คือ ในระหว่างเพื่อนๆ ด้วยกันแล้ว ผู้เขียนจะไม่เคยน้อยหน้าใครในเรื่องหาปลา ไม่ว่าจะเป็นตกเบ็ด ลงข่าย ทอดแห ดักลันปลาไหล โดยเฉพาะก็ตกเบ็ดนี่ เป็นกีฬาที่ชื่นชอบเอาซะจริงๆ

เพราะคันเบ็ดที่ใช้ไม้ไผ่เหลาๆ เอา ให้ปลายมันอ่อนหน่อย คันยาวประมาณ ๒ เมตร ใช้เบ็ดญี่ปุ่นที่ก้นมันเป็นรูนั่นแหละดีนัก สายเบ็ดหรือ ใช้สายเอ็นใสๆ เส้นเล็กๆ เหนียวดีอย่าบอกใครเชียว และข้อดีของสายเอ็นก็คือ มันจะไม่ติดพันกับกิ่งไม้ใบหญ้าง่ายๆ เหยื่อหรือครับ ง่ายมาก ก็ไส้เดือนน้ำตัวแดงๆ นั่นแหละครับ เกี่ยวเบ็ดเล็กๆ มีตะกั่วถ่วงนิดๆ ที่ข้างๆ เหยื่อ เพื่อให้มันทิ้งตัวลงอยู่ในระดับดิ่ง ทุ่นหรือครับ ใช้ฟองน้ำจากรองเท้าเก่าๆ โดยมากจะเป็นสีเขียว สีฟ้าซะมากกว่า เพราะสีทั้งสองนี้หาง่าย และเวลาลอยน้ำแล้วมันเห็นได้ชัดดีมาก

เวลาปลาติดเหยื่ออย่างนี้ ทุ่นมันเต้นขึ้นๆ ลงๆ หรือวิ่งไปวิ่งมาตามแรงของปลาวิ่งแย่งเหยื่อ ดูแล้วเพลิดเพลินในอารมณ์เด็กดีเหลือหลาย ปลาแขยงเล็กบ้าง โตบ้าง ชอบนักกับการกินเหยื่อที่เราล่อ ชั่วระยะเวลาแค่อึดใจเดียว เราก็ตวัดปลาที่หลงเหยื่อขึ้นมาบนบก แต่ละตัวที่ตวัดมามันจะดิ้น และร้องอย่างน่าเวทนา

แต่อนิจจา เด็กอย่างผู้เขียนช่างเห็นเป็นความสุข สนุกสนานเสียยิ่งนัก เสียงปลาแขยงร้อง อ๊อดๆๆๆ พร้อมกับสะบัดตัว และสะบัดเงี่ยงของมัน มันเหมือนกับเสียงของดนตรีอันไพเราะจับใจ

ผู้เขียนปลดขอเบ็ดออกจากปากของมันอย่างชำนิชำนาญ ตัวแล้วตัวเล่าจนปริมาณปลาเต็มพวงหญ้าแหวน ซึ่งไม่ต่ำกว่า ๒๐ – ๓๐ ตัว แน่ละ อาหารอันโอชะคือปลาแขยง จะแกงส้ม หรือใส่เกลือปิ้งไฟ ก็ตามใจต้องการ

ไม่เฉพาะแต่ปลาแขยงตัวเล็กๆ หรอกนะครับ ปลากดตัวใหญ่ๆ ปลากระทิงตัวยาวๆ ก็เคยได้มาหลายครั้ง และถ้าได้ปลาตัวใหญ่ๆ โดยคันเบ็ดเล็กๆ คันเดียวกันนี้ ดูมันช่างเป็นเกียรติ มีศักดิ์ศรี อะไรเช่นนี้หนอ

เพื่อนๆ ต่างก็อิจฉา ผู้ใหญ่ก็ชมว่า “เก่ง” คิดดูเอาเองเถอะครับท่าน ว่าผู้เขียนจะภูมิใจสักเพียงใด

ชีวิตในเยาว์วัยของผู้เขียนนั้น มันช่างสนุกสนานกับการทำบาปฆ่าปลาเอาซะจริงๆ ลงตาข่ายวันไหน ฝนตกจะได้ปลามากเป็นพิเศษ ส่วนมากจะเป็นปลาขาวทุกขนาด ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก ได้มากๆ ก็ทำปลาร้าสิครับ อาหารของภาคอีสานจะมีอะไร “แซ่บ” เท่าปลาร้าเป็นไม่มี

ดูส้มตำที่เขาตำขาย ตำกินกันสิครับ ตำรับอีสานขนานแท้และดั้งเดิมแล้วต้องใส่ปลาร้ามันถึงจะแซ่บอีหลี พูดแล้วอดน้ำลายแตกไม่ได้ ส้มตำอย่างเดียวเรากินเป็นอาหารได้ทุกเวลา เรียกว่าตลอดทั้งวันไม่เลือกกาลเวลาว่างั้นเถอะครับ มีปลาร้าอย่างเดียวก็เป็นอาหารหลักในบ้านไปได้นาน ไม่ต้องกังวลว่าจะมีหมู มีไก่ มีเนื้อ ทำอาหารบ้างไหมหนอในวันนี้ วันหน้า นี่ก็นับว่าดีไปอย่าง

ชีวิตของคนอีสานนานๆ ที จะเจอหมู เนื้อ ไก่ ยิ่งปลาทะเลด้วยแล้ว ไม่มีใครได้กินกันหรอก ชื่อก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ผู้เขียนรู้จักปลาทะเลอย่างเดียวคือ ปลาทู เป็นปลาทูเค็มด้วยนะครับ ปลาทูนึ่งเป็นอย่างไรไม่รู้ ไปรู้เอาตอนได้เข้าเรียนต่อในตัวอำเภอโน่นแหละครับ เวลาเรียนเรื่องปูทะเล ปลาทะเล ตอนอยู่โรงเรียน ป.๓ – ป.๔ นั่น ก็ได้แต่วาดภาพจินตนาการเอา ไม่มีของจริงให้ดู แม้แต่รูปภาพก็ยังหาดูยากเต็มทีจริงๆ นะครับ

การทำบาปทำกรรมเรื่องการหาปลาหาปูของผู้เขียนก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ อยู่ ป.๔ ผู้เขียนหาปลาเก่งมาก แล้วพอขึ้น ป.๕ คุณพ่อเอาไปฝากวัด เพื่อเรียนต่อในตัวอำเภอ การทำบาปเรื่องหาปลาลดน้อยลงอย่างทันตาเห็น และไม่ต้องคิดหาวิธีการทำบาปให้เสียเวลา เพราะแม้แต่ใครมายิงนกในวัด อาจารย์ก็ตะเพิดซะไม่เป็นขบวน ถ้าเด็กวัดยิงนกตกปลา คำประกาศิตจากอาจารย์ก็คือ ออกจากวัดสถานเดียว นั่นคือ ออกจากโรงเรียนไปด้วย เพราะเสียประวัติ ขนาดเอาไปไว้วัดแล้ว มันยังไม่รักดี ถ้าไปเช่าบ้านให้อยู่ ไม่มีผู้ปกครองดูแล มันจะแย่ขนาดไหน ก็คิดดูเอาเอง

ในสมัยก่อนเด็กวัดจึงอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ทำวัตรสวดมนต์เหมือนกับพระ ตักน้ำ หุงข้าว หาผัก และถากลานวัด กวาดลานวัด ทำความสะอาดกุฏิ ใครตื่นสายก็เอาน้ำสาด หรือไม่ก็ลากจากพักสูงลงสู่พักต่ำ โครมเข้าให้ รุ่นพี่ปกครองรุ่นน้อง เป็นแบบอย่างให้รุ่นน้อง แต่ถ้ารุ่นน้องคนไหนชักจะเกเร หรือเอาไม่ไหวแล้ว รุ่นพี่ก็จะตีอย่างไม่เลี้ยงเหมือนกัน ทำโทษให้ล้างส้วมบ้าง ให้ล้างชาม ล้างสำรับคนเดียวบ้าง เพื่อดัดสันดานให้ดีนั่นแหละครับ

โรงเรียนปิดเทอมใหญ่ในเดือนเมษา–พฤษภา เด็กๆ ที่เข้ามาเรียนในอำเภอ จะกลับบ้านกัน เด็กวัดจะทะยอยกลับไปเป็นกลุ่มๆ ใครมีความจำเป็นมากให้กลับก่อน ใครไม่มีธุระจำเป็นเท่าไร ค่อยกลับทีหลัง โดยมากพวกรุ่นพี่ ม.๕ ม.๖ จะกลับทีหลัง เพราะมีงานช่วยพระบ้าง ช่วยครูอาจารย์บ้าง และตนเองจะต้องเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อบ้าง ก็อยู่วัดต่อไปเป็นเดือนก็มีครับ

ผู้เขียนยังเป็นเด็กรุ่นน้องใหม่อยู่ กลับบ้านก่อนเลยละ ก็คิดถึงบ้านแทบแย่น่ะครับ คิดถึงคันเบ็ดอย่างจับใจ นี่เรียกว่า นิสัยการทำบาปกรรมยังไม่เหือดแห้งหายไป ปีนั้นผู้เขียนอยู่ ป.๖ จะขึ้น ป.๗ สอบเสร็จก็กลับบ้านเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย หาปลา หาปู ไปตามเรื่องตามราว

มีอยู่วันหนึ่ง พี่ชายเอาวัวไปหาฟืนในป่าที่อยู่ไกลบ้าน เราว่างเลยหาเรื่องชวนเพื่อนไปหาปลาหากบกัน เพื่อนรุ่นพี่บอกว่า ปลาหายาก ไปหากบกันดีกว่าหน้านี้ กบจำศีลอยู่ด้วย ถ้ามีโชคเราคงได้กินบ้าง อุปกรณ์ก็คือ เหลาไม้ไผ่แหลมๆ ยาวประมาณ ๑ เมตร เพื่อใช้แทงดินตามริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีใบไม้ร่วงหล่นทับถมกันมากๆ

ตอนสายๆ ในวันนั้น ผู้เขียนกับเพื่อนก็ออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังลำคลองที่มีน้ำแห้งขอดลงไปมาก จนบางตอนขาดเป็นห้วงๆ ก็หลายตอน ริมฝั่งน้ำมีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นเป็นทิวแถว จึงทำให้ร่มเย็นเสียยิ่งนัก ผู้เขียนใช้ไม่ไผ่นั้นแทงลงไปตามชายฝั่งอย่างตั้งใจ เพราะจุดหมายของเราคือ เจ้ากบจำศีลที่อยู่ใต้ผิวดินอันมีใบไม้ทับถมปิดบังอำพรางตัวมันอย่างดีด้วย

ไม่นานนักเจ้ากบเดราะห์ร้ายชะตาขาดก็ถูกไม้ปลายแหลมของผู้เขียน มันร้องด่าวดิ้นติดไม้ขึ้นมาแล้ว สองขาของมันทะยานอากาศ มือน้อยๆ ของมันตะกุยตะกายว่ายแหวกลม อย่างน่าเวทนา แต่ผู้เขียนและเพื่อนต่างก็ลิงโลด กระโดดตัวลอยเพราะเจ้ากบตัวน้อยตัวเหลือง มันคืออาหารอันโอชะซะนี่กระไร เสียงร้องอันโหยหวนของมันก็ไม่สนใจ

วันนั้นได้กบ ๔ ตัว ขนาดไล่เลี่ยกัน แต่ทุกตัวจะมีสีเหลือง และสำรวจดูที่อยู่ของมันแล้ว บอกว่า กบจำศีลทั้งสิ้น ในช่วงที่มันจำศีล มันจะหยุดพัการหากินอะไรทั้งหมด แต่อนิจจา ผู้เขียนก็ใจไม้ใส้ระกำพอที่จะไปรังแกกบถึงถิ่นที่จำศีลของมันได้ลงคอ นี่แหละกรรมที่ทำกับกบจำศีล

ต่อมากาลเวลาผ่านพ้น จากวันนั้นมานานปี ผู้เขียนเลิกละการหาปู ปลา กบ อึ่ง อย่างสิ้นเชิง เพราะต้องเข้ารับการศึกษาต่อในตัวจังหวัด เลยไม่มีโอกาสออกท้องไรท้องนา จวบจนเรียนจบ แล้วได้บวชเป็นพระภิกษุในศาสนา ออกพรรษาแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ยอมสึกไปเข้างานที่ไหน เพราะใจรักผ้าเหลือง ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรมเป็นยิ่งนัก

ผู้เขียนได้เข้าปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ได้เห็นภาพนิมิตชีวิตของตนเองในเยาว์วัยที่กำลังกระตุกเบ็ด ฟาดปลาขึ้นมาบนบก ปลามันดิ้นทุรนทุราย ข้าพเจ้าน้ำตาไหลพรากสงสารปลา กรวดน้ำ อุทิศกุศลให้ปูปลาทุกตัวตน

แต่น่าแปลก กบจำศีลนั้นไม่มาปรากฎในนิมิตให้เห็นเลย และผู้เขียนก็ลืมมันจนหมดสิ้นแล้วด้วย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใดสุดที่จะเดา

เดือนเมษายนต้นเดือน อากาศร้อนมากแล้ว ผู้เขียนปวดท้องและหาสาเหตุ ผู้เขียนคิดโทษอย่างเดียวคือ ไส้เลื่อน ที่เป็นมานานปีแล้ว ผู้เขียนอยากผ่าตัดไส้เลื่อนซะตอนเป็นพระนี่แหละ ดังนั้นจึงตัดสินใจไปหาหมอโรงพยาบาล บอกอาการที่ตนเองเป็น หมอจึงรับไว้และได้ทำการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนจึงต้องเปลี่ยนชุดเป็นคนไข้ นอนรอผ่าตัด ๑ คืน ตอนที่ผ่าตัดแล้วนี่ซิครับ เขามัดมือมัดเท้าเอาไว้ในเตียงพยาบาล ก่อนที่ผู้เขียนจะรู้สึกตัว พอรู้สึกตัวเท่านั้น ผู้เขียนก็ดิ้น ไม่ผิดอะไรกับกบที่ถูกลอกหนังเอาเกลือใส่

คืนนั้นรู้สึกปวดแผลผ่าตัดอย่างบอกไม่ถูกเลย อยากจะพูดว่า ปวดทั่วสรรพางค์กายนั่นแหละ หรือถ้าจะพูดเล่นสำนวนก็ต้องพูดว่า เส้นใหญ่ ๙๐๐ เส้นน้อย ๙,๐๐๐ มันรวมกันเคลื่อนจากที่ ปวดแทบเอาชีวิตไม่รอดเลย แหละครับท่าน ตอนนั้นเองผู้เขียนคิดถึงกบจำศีลที่เคยได้พร่าชีวิตของมันมาเป็นอาหาร โอ ! กรรม ผลกรรมฆ่ากบมันตามมาให้ผลแก่ผู้เขียนอย่างสาสมเสียแล้วซิท่านเอ๋ย

น้ำตารินไหลพราก เพราะความปวดบาดแผล และเสียดายวัยเยาว์ที่ผู้เขียนคลุกเคล้าด้วยคาวปลา พร่าชีวิตกบจำศีล ในขณะนี้ผู้เขียนได้ใช้หนี้กรรมฆ่ากบแล้ว ถูกหมอวางยาสลบไป ๗ ชั่วโมง จึงรู้สึกตัว นี่ก็เรียกว่าตายผ่อนส่งหนี้กรรมกระมัง และแผลเป็นมันก็ยังจารึกเอาไว้จวบจนตัวตาย ไว้เป็นที่ระลึกน้อมนึกถึงบาปกรรม

ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่ากรรมน้อยนิดจะไม่ให้ผล โปรดดูตัวอย่างผู้เขียนเถอะท่าน ผู้เขียนตริตรองดูแล้ว กรรมดีกรรมชั่วเป็นของเฉพาะตัวจริงๆ ขอท่านทั้งหลาย โปรดสังวรระวังให้ดีๆ และช่วยสอนลูกหลานอย่าให้พร่าผลาญชีวิตสัตว์เลย มันเป็นเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ยากลำบากเหมือนกับเรา มันรักชีวิตของมันเหมือนๆ กับ เรา จงอย่าได้คิดว่า ปู ปลา กบ อึ่ง มันเกิดมาเป็นอาหารของเรา ทำมันไปเถอะ ฆ่ามันไปเถอะ

ถ้าท่านยังคิดอยู่อย่างนั้น โอ ! สวรรค์ปิดประตูกั้นท่านเสียแล้ว แต่นรกซิกำลังเปิดประตูรอรับท่าน ไม่ผิดอะไรกับเงาที่อยู่หลังของท่าน โดยเฉพาะเงาบาปด้วยแล้ว มันน่ากลัวเสียนี่กระไร ท่านจะไม่มีวันสู้รบตบมือกับเงาบาปได้เลย ท่านไม่มีการขอร้อง เขาไม่ฟังคำวิงวอนของท่านหรอก

ในโลกมนุษย์เวลาท่านต้องโทษ ถูกอาญาแผ่นดิน ท่านยังขอลดหย่อนผ่อนโทษได้ แต่ในโลกวิญญาณ โลกของเวรกรรมแล้ว ท่านต้องรับกรรมนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางหลีกเลี่ยง กรรมย่อมให้ผลอย่างตรงไปตรงมา และสาสมใจจริงๆ ชีวิตอันน้อยนิดของเรานี้ สมควรที่จะสร้างแต่คุณงามความดีใส่ตัวเอาไว้มากๆ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัว และเป็นเสบียงอันยาวไกลในวัฏสงสารนี้ และท่านอย่าลืมคำกลอนเก่าๆ ที่คนแต่ก่อนใช้สอนใจให้ได้สติเสียล่ะ

“ถ้าบุญแรงแข่งบาปให้สาปสูญ บุญก็พูนเพิ่มให้ดังประสงค์

ถ้าบาปแรงแข่งบุญให้ลดลง บาปก็คงวิ่งเข้าเป็นเจ้างาน”

หากท่านเดินถูกทาง ท่านจะพบแต่ความสว่าง สงบ ร่มเย็น ดับทุกข์เข็ญได้ทั้งตนเองและผู้อื่น สุขสดชื่นทั้งตื่นและหลับ พร้อมที่จะต้อนรับกับทุกสิ่ง เป็นเรื่องจริงที่ท่านพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง โดยการปฏิบัติธรรม

ที่มา : dhammajak

Leave a Reply