กฎแห่งกรรม…ผู้ล่วงเกิน
โดย.. เทพ บางสมุทร
จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑
เป็นมนุษย์สุดดีที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
คำภาษิตนี้บ่งบอกความหมายไว้ชัดเจนแล้วว่า…
มนุษย์เรานั้นต้องพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นไปด้วยความเจริญฝ่ายเดียว
หากพูดเพ้อเจ้อ หรือส่อเสียดแล้ว
กรรมที่เห็นทันตาก็คือ ถูกทำร้ายเพราะคนที่เขาถูกด่า ถูกใส่ความ
เกิดโทสะ แล้วลงมือลงไม้เอาเข้าให้
หรือไม่ก็ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ติดคุกติดตะราง
ต้องขอขมาลาโทษทางหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เห็นได้รู้กันอยู่เป็นประจำ
การว่าร้ายด่าทอสมณะผู้ทรงศีล การจาบจ้วงด้วยวาจา
หรือการกระทำด้วยกำลังกายเข้าประทุษร้าย
ท่านว่า มีผลทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ในโลกนี้ก็คือ จะเป็นผู้มีความวิบัติในลาภยศและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
มีความพลัดพรากจากของที่รัก และถูกติฉินนินทาจากผู้คนที่มีใจเป็นธรรม
ครั้นตายไปแล้วก็ต้องไปเสวยทุกข์ในนรก ให้นายนิรยบาลลากลิ้นออกมาตัด
จับแหกปากแล้วเอาเหล็กหลอมละลายเหลวๆ เทกรอกลงไป
เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลานานชั่วกัปป์ ชั่วกัลป์
เรื่องจริงของผู้ล่วงเกินนี้เกิดขึ้นที่ แม่กลอง หรือเมืองสมุทรสงคราม
อันเป็นเมืองที่หลวงพ่อวัดบ้านแหลมท่านประดิษฐานอยู่นั่นเอง
วัดช่องลม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง
ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
สมัยเมื่อหลวงพ่อบ่าย ธรรมโชโต ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น
ท่านได้จัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเสนาสนะให้มีความมั่นคงถาวร
และเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนท้องถิ่นว่า ไม่อับอายขายหน้าแขกต่างถิ่น
ที่มักจะมาเยือนเพื่อนมัสการหลวงพ่อบ่าย
ซึ่งเป็นพระเถระที่อาคมกล้าอีกรูปหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม เวลานั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อบ่าย ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่องลม
ท่านได้อนุเคราะห์ชาวบ้านให้มีความเจริญผาสุข
ด้วยการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา
คู่ไปกับการสร้างเครื่องรางของขลังแจกเพื่อให้ไปป้องกันตัว
เพราะอาชีพหลักของคนแถบนั้นก็คือ การประมง
ต้องเสี่ยงภัยกับฉลามและสัตว์ร้ายอื่นๆ เล่ากันมาว่า
ปีหนึ่ง หลวงพ่อสรงน้ำครั้งหนึ่ง อันถือเป็นประเพณีของท่านว่า
ปีหนึ่งท่านจะสรงน้ำเพียงครั้งเดียว และใครที่มาสรงน้ำ
ท่านจะแจกสตางค์แดง มีรูตรงกลางให้คนละหนึ่งอัน
สตางค์แดงนั้นแหละเอาไปร้อยเชือกผูกติดเอว ป้องกันอันตราย
บางคนบอกว่า ฉลามบุกเข้ามาจะงับ แต่อ้าปากไม่ขึ้น
เอาเท้าถีบเล่นได้เลย เพราะมันแพ้ในอำนาจแห่งพระพุทธคุณ
ที่หลวงพ่อบ่าย ท่านปลุกเสกสตางค์แดงเอาไว้
เมตตาธรรมของหลวงพ่อนั้นแผ่กว้างไพศาล
ไม่เคยดุด่าว่าใครแรงๆ เพราะท่านวาจาสิทธิ์นัก
ผู้คนที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือ
จากท่านนั้น ต่างก็ได้รับความเมตตากลับไปทุกราย
ท่านสงเคราะห์เท่าที่ท่านจะสงเคราะห์ได้ ไม่รังเกียจเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายจีนแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาเดินท่อมๆ ในวัด
ถามหาหลวงพ่อบ่าย ท่านลงไปกวาดลานวัดอยู่พอดีจึงได้แนะนำตัว
“ท่านค้าบอาหลงพ่อบ่าย อีหยู่ที่หนาย อั๊วะจะมาขอหวยอีสักหน่อย
ค้าขายขากทุงป่งปี้ ขอหวยไปทำทุง”
“ฉันนี่แหละหลวงพ่อบ่าย ที่อาเจ็กถามหาอยู่ หวยฉันไม่เคยให้
มันเป็นของที่ไม่น่าจะให้เลยนี่นาอาเจ็ก”
“กาบเท้าล่ะคร้าบ ผงจงจิงๆ อาหลงพ่อ ไม่งั้งไม่บากหน้ามาหา”
“ไม่เอาน่า ทำมาหากินอย่างอื่นเถอะ มันเป็นอบายมุข ไม่สมควรจะไปยึดติด
มันไม่เจริญรุ่งเรืองหรอกน่า ทำมาหากินดีกว่า”
กล่าวจบท่านก็เดินหนีไป อาเจ๊กผู้นั้นก็กลับด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
รุ่งขึ้นก็มาตื๊อหลวงพ่ออีก แต่ก็ต้องกลับไปมือเปล่าตามเคย
วันที่เจ็ด อาเจ๊กคนนั้นก็มาอีก คราวนี้หลวงพ่อขัดใจ จึงบอกว่า
“หวยเหยอะไรกันไม่มีหรอก มีแต่หญ้าข้างโบสถ์นั่นแหละ
รกจนท่วมหัว ไปถางเอาซี่ นั่นแหละ แน่ที่สุด”
วันรุ่งขึ้น อาเจ๊กก็เกณฑ์ลูกเมียและคนในบ้าน เอามีดพร้าจอบเสียม
มาช่วยกันตัดหญ้าจนเตียนโล่ง เห็นทันตา
หลวงพ่อบ่ายมาเห็นเข้า ก็พึมพำกับศิษย์ว่า
“อ้ายเจ๊กนั่นมันโง่จริงๆ เลย ดูซิบอกให้มันไปถางหญ้าแทนหวย
มันก็ถางเสียเตียนเลย เอาล่ะวะ จะให้มันสักตัวสองตัว”
ว่าแล้วท่านก็เรียกอาเจ๊กเข้ามาหา แล้วบอกหวยให้
โดยขอร้องให้เล่น เพียงเพื่อหาทุนมาทำมาค้าขายต่อไปเท่านั้น
อย่าได้เล่นเป็นอาชีพ จะฉิบหายขายตัว อาเจ๊กรับคำ
ท่านก็ให้หวยไปตัวหนึ่ง หวยสมัยนั้น มีหวย ก.ข. และหวยจับยี่กี
หวย ก.ข. ออกเช้า ออกบ่าย แต่จับยี่กีออกทั้งวัน
อาเจ๊กไปแทงหวย ก.ข. และจับยี่กี ก็ถูก ได้สตางค์มากโข
พอเอาไปทำทุนค้าขาย ต่อมาได้นำเงินมาถวายหลวงพ่อบ่าย
ช่วยหล่อรูปหล่อให้ท่าน ด้วยความศรัทธา
ขุนบาลหวย แค้นเคืองหลวงพ่อบ่ายมาก
ถึงกับด่าทอและฝากคนมาด่าหลวงพ่อถึงที่วัด
“หลวงพ่อครับ อ้ายขุนบาลหวยมันพูดใส่หน้าผม
ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมาว่า ไปบอกหลวงพ่อของเอ็งด้วยว่า
มีปัญญาใบ้ก็ใบ้มา กูไม่กลัว ใครเชื่อท่านวัดช่องลม
ก็ให้มาแทงหวยกับกู รับรองฉิบหายทุกราย
ใครจะมาเก่งกว่ากูที่เป็นคนออกหวย”
มันเป็นการล่วงเกินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่หลวงพ่อบ่ายท่านก็ยิ้ม
แล้วสั่งศิษย์ไปว่า “อ้ายขุนบาลมันด่ากระทั่งกูผู้ทรงศีล
ที่กูให้หวยอ้ายเจ๊กนั่นไปทำมาหากิน มันกลับหาว่ากูทำให้คนฉิบหาย
กูจะดูซิว่า กูหรือมัน จะฉิบหายกันแน่ กรรมของมันมาถึงแล้ว
ไปบอกกันให้ทั่วว่า หวยวันนี้ท่านวัดช่องลมบอกว่าออก สองคน”
ข่าวแพร่สะพัดออกไป บรรดานักเล่นหวยก็แห่กันไปแทง “สองคน”
แบบจับยี่กีกันเป็นโกลาหล ปรากฎว่า หวยออก “สองคน”
ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ทั้งๆ ที่ขุนบาลก็ได้เปลี่ยนตัวออกทุกครั้ง
แต่ก็ปรากฎว่า พอออกก็เป็นสองคนทุกครั้งเหมือนมีใครมาจับมือ
ให้ออกสองคน ขุนบาลกับหุ้นส่วน และคนที่มาเป็นพยาน
ทะเลาะทุ่มถียงกันจนโรงหวยแทบแตก
เพราะใครล้วงตัวอื่นมาใส่ในถุงแขวน ก็มองเห็นตัวสองคนเป็นตัวอื่น
เอายัดลงไป ออกสองคนทุกครั้ง เปลี่ยนคนมาออก ก็ยังเป็นสองคน
วันนั้น วันเดียว ขุนบาลกับหุ้นส่วนหมดตัว
ต้องขายบ้าน ขายช่อง กลายเป็นคนหาบของขายไปในไม่ช้า
เหตุเพราะกรรมที่แช่งหลวงพ่อบ่ายให้ฉิบหาย
แล้วกรรมนั้นก็เข้าสนองตัวเองอย่างจัง ทันตาเห็น
เห็นจะเป็นด้วยเรื่องหวยนี้แหละ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง
เคยบวชเรียนอยู่กับท่านจนเกือบจะได้รับการส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัด
ในปกครองของ ท่านในสมุทรสงคราม แต่ก็ชิงสึกเสียก่อน
เพราะสีกาทำให้ร้อนผ้าเหลือง เมื่อสึกออกไปแล้ว
ก็ไม่ประกอบอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ได้แต่กินเหล้าสำมะเลเทเมาไปวันๆ
วันหนึ่ง ได้พกปืนกำเข้ามาในวัด
แล้วก็ร้องเอะอะด่าทอไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อบ่าย
หลวงพ่อท่านโผล่ออกมาดู พอเห็นก็เลยบอกกับอดีตศิษย์ทางธรรมว่า
“ทิดเอ๊ย ไปเสียเถิด ที่นี้เขตวัดไม่ใช่ร้านเหล้า ไปตามทางของแกเสีย
แกมันไม่น่าจะทำอย่างนี้ เคยบวชเรียนมาก็หลายพรรษา”
“อย่ามาพูดมากเลยหลวงพ่อ เขาว่าให้หวยแม่นไม่ใช่หรือ
ลองให้สักตัวซี่เอ๊า จะเอาไปกินเหล้าให้หมดเลย”
หลวงพ่อบ่าย ท่านก็ยังใจเย็น กล่าวกับทิดนั้นว่า
“อยากได้หรือ มีแต่ส้นตีนนี่ไงล่ะ เอาไปซี่” ว่าแล้วท่านก็ยกฝ่าเท้าให้จังๆ
ทิดผู้นั้นก็หันหลังกลับ แล้วเดินบ่นพึมพำออกจากวัดไปว่า
“หน๊อยขอหวยดีๆ ดันผ่าให้ส้นตีนได้ หลวงพ่อไม่เอาไหน”
คนที่เห็นเหตุการณ์รวยไปตามๆ กัน เพราะหวยวันนั้นออก “เอี่ยวเกือก”
ทั้งเช้าและบ่าย ทิดขี้เมาไม่มีโชค มัวแต่แอ่นไปแอ่นมาเลยไม่ได้แทง
แต่ไม่เป็นไร คราวนี้พกปืนมาอีก พอมาถึงหลวงพ่อก็ร้องขอหวย
“หลวงพ่อครับ คราวก่อนไม่ได้แทงเลยอด
คราวนี้ขอใหม่อีกหน จะแทงให้จั๋งหนับ”
“แกขอทีเดียวก็ให้ไปแล้ว แกจะมาขออีกมันผิดสัจจะ
ออกไปอ้ายคนไม่รักดี ไปตามทางของแกได้เล้ว”
ชายคนนั้นแสดงอาการไม่พอใจ ชักปืนออกมาจากเอว
แล้วหันปากกระบอกไปหาหลวงพ่อบ่าย แล้วร้องว่า
“เดี๋ยวพ่อยิงซะให้ตายโหงอยู่ตรงนี้เลย ขอหวยนิดเดียว
ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา”
หลวงพ่อบ่ายท่านจึงพลั้งปากออกไป
ไม่ได้ตั้งใจกับทิดขี้เหล้านั้นว่า
“อ้ายทิด แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
แกนั่นแหละ ตายโหง ไม่ใช่ฉัน อ้ายผีตายโหง”
กล่าวจบ ท่านก็เดินหันหลังเข้ากุฏิ
ชายคนนั้นก็เดินกลับไป พอรุ่งเช้า ก็มีคนไปพบชายคนนั้น
นอนตายอยู่ในห้องนอนของตัวเองบนบ้าน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก
เหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
เจ้าหน้าที่มาชัณสูตรศพพบว่าถึงแก่ความตาย
เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม
แล้วเขาตายด้วยเหตุใด ในที่สุด เมื่อพลิกตัวเขาดูอีกที
ก็มองเห็นภาพอันน่าสยดสยอง
นั่นก็คือ มดแดงไฟจำนวนเป็นหมื่นๆ แสนๆ ตัว
ค่อยๆ ไต่ออกจากหูของคนตาย
ปากคาบเอาแก้วหูบ้าง ขี้หูบ้าง ออกมา
ทิดขี้เมารายนั้น ถูกมดแดงไฟพากันยกโขนงเข้าไปกัดแก้วหู
จนถึงแก่ความตาย เป็นการตายโหงอย่างน่าประหลาดที่สุด
ทุกวันนี้ยังมีการกล่าวขวัญถึงอย่างไม่รู้จบ
เพราะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นยิ่งนักทีเดียว
กรรมที่ด่าว่าพระให้ท่านฉิบหาย ตัวเองก็ฉิบหายไปเอง
กรรมที่เอาปืนมาขู่จะฆ่าพระให้ตายโหง ตัวเองก็ตายโหง
มันเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาเห็น เพราะพระท่านมีศีลบริสุทธิ์
ใครที่บังอาจไปทำร้ายท่าน
ก็ย่อมกระท้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ที่มา : dhammajak