กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : ครึ่งคน ครึ่งเปรต



กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เรื่องครึ่งคน ครึ่งเปรต

คลิป (3D) ผี เปรต เถียงพ่อ แม่ sub.eng Be sure to watch until 5.56 min

พวกเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศลไว้ในกาลก่อน จึงได้ถูกไฟคือความหิวความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาในที่ร้อน เมื่อก่อนพวกเราชอบทำความชั่ว เมื่อมีทรัพย์สินเงินทองอยู่ก็ไม่ทำบุญทำทานไว้ ข้าวและน้ำก็มีมาก แต่เราก็ไม่เคยแจกจ่ายให้ทานและไม่ได้ถวายอะไรๆ แก่บรรพชิตผู้ปฏิบัติชอบ ชอบทำแต่กรรมที่คนดีเขาไม่ทำ เกียจคร้าน ชอบแต่ความสำราญและกินมาก ตระหนี่ถี่เหนียว ชอบด่าว่าลูกน้อง คนรับใช้เป็นประจำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหาร บ้าน คนรับใช้ ทรัพย์สมบัติเครื่องประดับต่างๆ ของเรา เมื่อเราตายแล้วก็เอามาด้วยไม่ได้ พวกเขาก็หนีไปรับใช้คนอื่นหมด พวกเราได้รับแต่ความทุกข์ เราจุติจากเปรตนี้แล้วจะไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม”

——————————————

กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : ครึ่งคน ครึ่งเปรต

ชีวิตของคนเราทุกคนตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คนที่ปฏิบัติดีย่อมได้รับผลดี คนที่ปฏิบัติชั่วย่อมได้รับผลชั่ว หากเรารักตัวเองก็ไม่ควรที่จะทำความชั่ว เพราะผลของมันจะสะท้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำนั่นเอง ดังเรื่องกฎแห่งกรรมต่อไปนี้

ในกรุงพาราณสีมีพรานคนหนึ่ง อยู่ในหมู่บ้านจุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในอีกด้านทิศหนึ่ง เขาล่าเนื้อในป่าแล้วย่างกิน ส่วนที่เหลือเอาใบไม้ห่อกลับบ้าน พวกเด็กเล็กๆ เห็นเขาที่หน้าหมู่บ้าน พากันวิ่งมาขอเนื้อ เขาก็ได้ให้เนื้อแก่เด็กเหล่านั้นคนละน้อย

อยู่มาวันหนึ่ง พวกเด็กเห็นเขาที่หน้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีเนื้อติดมือมาด้วย มีแต่ดอกราชพฤกษ์ที่หอบกลับมามากมาย เด็กๆ วิ่งเข้าไปขอเนื้อจากเขาเหมือนเดิม แต่เขาได้ให้ดอกไม้แก่เด็กคนละดอก ต่อมาหลังจากเขาตายแล้ว ก็ไปบังเกิดใน หมู่เปรต เป็นผู้เปลือยกาย มีรูปน่าเกลียดน่ากลัว ไม่รู้จักข้าว ไม่รู้จักน้ำ บนหัวมีดอกโกสุมและทัดด้วยดอกราชพฤกษ์ กลับไปหาพวกญาติของตนในจุนทัฏฐิลคามเพื่อขอส่วนบุญ โดยเดินทวนกระแสน้ำคงคาที่ไหลอยู่ไม่ขาดสาย

ขณะนั้นอำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ชื่อว่า โกลิยะ ได้ปราบโจรที่กำเริบเสิบสานอยู่ชายแดนให้สงบแล้วก็กลับเข้าเมืองมาทางเรือตามกระแสแม่น้ำคงคา เห็นเปรตตัวนั้นกำลังเดินอยู่ จึงถามว่า

“ดูก่อนเปรต ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีร่างกายเป็นเปรตครึ่งหนึ่ง ทัดดอกไม้ตกแต่งร่างกาย เดินไปตามน้ำที่ไหลไม่ขาดสายในแม่น้ำคงคานี้ ท่านจะไปไหนหรือ ที่อยู่ของท่านคือที่ไหน”

เปรตกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไปบ้านจุนทัฏฐิละซึ่งอยู่ในระหว่างวาสภคามกับกรุงพาราณสี มหาอำมาตย์เห็นแล้วสงสารเปรต ดังนั้น เมื่อเรือหยุดเดินจึงได้ให้ข้าวและผ้าแก่อุบาสกช่างกัลบก เพื่ออุทิศไปให้เปรต เปรตนั้นก็ได้ผ้านุ่งห่มทันที เพราะผลบุญที่มหาอำมาตย์ทำให้

ต่อมาโกลิยมหาอำมาตย์มีจิตอยากจะช่วยเหลือเปรต จึงทำบุญอุทิศแก่เปรตไปเรื่อย จนกระทั่งเดินทางถึงกรุงพาราณสีในตอนเช้า ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาทางอากาศ ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อจะโปรดเปรต ฝ่ายโกลิยมหาอำมาตย์ลงจากเรือแล้วเกิดความสุขใจ ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น

เมื่อโกลิยมหาอำมาตย์ได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ จึงให้สร้างมณฑปใหญ่ประดับประดาด้วยผ้าต่างชนิดอันวิจิตรด้วยสีย้อมต่างๆ ทั้งเบื้องบนและด้านข้างๆ ทั้ง ๔ ด้าน ปูอาสนะถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้แล้ว มหาอำมาตย์จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาสักการะด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วกราบทูลคำที่ตนกล่าวและคำโต้ตอบของเปรตให้พระองค์ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ขอให้สงฆ์จงมาที่นี่ เพียงแค่ดำริเท่านั้นภิกษุสงฆ์ก็พากันมาแวดล้อมพระองค์ด้วยพุทธานุภาพ

ในขณะนั้นเอง มหาชนพากันมาประชุมเพื่อจะฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า มหาอำมาตย์เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายภัตตาหารอันประณีตแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ขอคนชาวบ้านใกล้กรุงพาราณสีจงประชุมกันเถิด มหาชนทั้งหมดก็ได้มาประชุมกันด้วยกำลังพระฤทธิ์ และพระองค์ได้ทำให้มหาอำมาตย์และประชาชนมองเห็นเปรตทั้งหลายที่มารอขอส่วนบุญ

เปรตบางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาดรุ่งริ่ง บางพวกเปลือยกายมีผมยาวสยายปกคลุมร่าง กระจายกันไปคนละทิศละทางเพื่อหาอาหาร บางพวกวิ่งไปไกลๆ ไม่ได้อาหารก็กลับมา บางพวกสลบล้มลงเพราะความหิวกระหาย นอนกลิ้งเกลือกบนพื้นดิน บางพวกล้มลงตรงแผ่นดินในที่ที่ตนวิ่งไปนั้น พร้อมกับร้องไห้ร่ำไรว่า

“พวกเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศลไว้ในกาลก่อน จึงได้ถูกไฟคือความหิวความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาในที่ร้อน เมื่อก่อนพวกเราชอบทำความชั่ว เมื่อมีทรัพย์สินเงินทองอยู่ก็ไม่ทำบุญทำทานไว้ ข้าวและน้ำก็มีมาก แต่เราก็ไม่เคยแจกจ่ายให้ทานและไม่ได้ถวายอะไรๆ แก่บรรพชิตผู้ปฏิบัติชอบ ชอบทำแต่กรรมที่คนดีเขาไม่ทำ เกียจคร้าน ชอบแต่ความสำราญและกินมาก ตระหนี่ถี่เหนียว ชอบด่าว่าลูกน้อง คนรับใช้เป็นประจำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหาร บ้าน คนรับใช้ ทรัพย์สมบัติเครื่องประดับต่างๆ ของเรา เมื่อเราตายแล้วก็เอามาด้วยไม่ได้ พวกเขาก็หนีไปรับใช้คนอื่นหมด พวกเราได้รับแต่ความทุกข์ เราจุติจากเปรตนี้แล้วจะไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม”

ส่วนผู้ที่ทำบุญกุศลไว้ ไม่มีความตระหนี่ ย่อมไปเกิดบนสวรรค์ ย่อมมีสวนนันทวันอันสว่างไสว รื่นรมย์อยู่เวชยันตปราสาท อยากได้อะไรก็ได้ดังใจหวัง ครั้นจุติจาก เทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง มีโภคะมาก คือในตระกูลคนมีเรือนยอด และปราสาทราชมณเฑียร มีบัลลังก์ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ (ผ้าทำจากขนแพะ) มีเหล่าบุรุษและสตรีถือพัดอันประดับด้วยแววหางนกยูงคอยพัดให้ ในเวลาเป็นทารกก็ทัดทรงดอกไม้ตกแต่งร่างกาย หมู่ญาติพี่เลี้ยงนางนมผลัดกันอุ้ม ไม่ต้องเอาเท้าแตะพื้นดิน มีผู้คนคอยเลี้ยงดูรับใช้อยู่ทั้งเช้าและเย็นตลอดชาติ

สวนนันทวันเป็นสวนใหญ่ของเทวดาเหล่าไตรทศ เป็นสถานที่ไม่มีความเศร้าโศก มีแต่ความน่ารื่นรมย์ ย่อมไม่มีแก่ชนผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมมีเฉพาะแต่คนผู้ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าไตรทศ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่าบุคคลผู้ทำบุญไว้ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์เพียบพร้อมด้วยโภคสมบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ตามควรแก่อัธยาศัยของมหาชนผู้ประชุมกันในที่นั้น หลังจากเทศน์จบ สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ตรัสรู้ธรรม

ความสุขความทุกข์อยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ หากเราทำกรรมดี เราก็จะได้รับผลดีตามกฎเกณฑ์ของกฎธรรมชาติ การทำความดีไม่มีวันสูญเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เราก็ประสบแต่สิ่งที่ดีมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราได้เกิดมาในโลกนี้จึงไม่ควรประมาท ต้องรีบสั่งสมกรรมดีไว้ให้มากๆ เราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะสิ้นสุดวันไหน จะยังมีลมหายใจถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ความดีจึงเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของเรา คนที่ทำความดีไว้มากเหมือนกับมีเสบียงมาก พร้อมที่จะออกเดินทางอยู่ตลอดเวลา ไม่หวั่นกลัวต่อความตายใดๆ ทั้งสิ้น คนสมัยใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้า จึงไม่อยากจะทำความดี การพิสูจน์ว่าชาติหน้ามีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ต้องลงมาปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เมื่อมีจิตสงบถึงระดับหนึ่งแล้ว จะรู้เองเห็นเองว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดีการทำความดีไว้ในชาติปัจจุบันก็ไม่เป็นการเสียเปล่าอย่างแน่นอน เพราะกรรมดีจะทำให้เรามีความสุขในชาตินี้ ถึงชาติหน้าจะมีหรือไม่มี เราก็ยังได้รับผลดีอยู่นั่นเอง

ที่มา : dhammajak

Leave a Reply